ติดต่อ-สอบถาม

วันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2561

รีวิว Samsung Gear Sport Smart Watch หน้าตาเดิมๆ เพิ่มเติมคือใส่ว่ายน้ำได้

รีวิว Samsung Gear Sport Smart Watch หน้าตาเดิมๆ เพิ่มเติมคือใส่ว่ายน้ำได้

รีวิว Samsung Gear Sport Smart Watch หน้าตาเดิมๆ เพิ่มเติมคือใส่ว่ายน้ำได้

สำหรับคนที่ชอบนาฬิกาทั้งหลาย Samsung Gear S3 อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีในปีที่แล้ว แต่สำหรับปีนี้เนื่องจากมีรุ่นใหม่ออกมาเพื่อให้สามารถว่ายน้ำได้อย่างดีและฉลาดสุดๆ กับ Samsung Gear Sport วันนี้จะมารีวิวให้ได้อ่านกันว่า 'ดีจริงหรือไม่'

ภายในกล่องของ Samsung Gear Sport 

ถ้าคุณซื้อ Samsung Gear Sport จะมีอุปกรณ์เสริมดังนี้
  • นาฬิกา Samsung Gear Sport
  • สายชาร์จ Micro USB
  • แท่นชาร์จ
  • สายนาฬิกาขนาด S
  • คู่มือ

รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่องและการออกแบบดีไซน์ของ Samsung Gear Sport

แรกเห็น Samsung Gear Sport ก็ทำให้นึกถึงนาฬิกาของ Samsung ถึง 2 รุ่น นั่นคือ Gear S3 ที่วงแหวน และ Gear S2 ที่ขนาด เพราะหน้าปัดใกล้เคียงกับ Gear S2 แต่วงแหวนมีรูปแบบเหมือนกับ Gear S3 มากกว่า ทำให้มันดูลงตัวอย่างมาก
ด้านข้างซ้ายของนาฬิกา จะมีไมโครโฟน สำหรับใช้สั่งงานด้วยเสียง และไม่มีลำโพง
ด้านข้างขวาของนาฬิกา จะมีปุ่มกด ปุ่มบนเป็นปุ่ม Back ส่วนปุ่มล่างเป็นปุ่ม Home และ Menu ใช้งานไม่ยากและกดได้ง่ายดาย
ด้านบนและล่างของนาฬิกาเป็นที่อยู่ของสาย สามารถถอดเปลี่ยนได้และมีขนาดกำลังดี
imag0102
imag0103
ด้านใต้จะมี Heart Rate Sensor พร้อมกับพลาสติกทั้งตัวและที่ปิดน็อต ออกแบบเพื่อให้สามารถใช้ว่ายน้ำได้ หรือมาตรฐานกันน้ำ 5ATM

เปิดเครื่องใช้งาน  Samsung Gear Sport พร้อมการทดสอบฟังก์ชันต่างๆ

Samsung Gear Sport ใช้ระบบปฏิบัติการ TiZen 3.0 ใหม่ล่าสุดที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ที่เรียกได้ว่าเด็ดหลากหลายจุด และมีหน้าตาที่ใช้งานได้ง่ายดายอยู่
imag0107
imag0106
imag0109
imag0110
ฟีเจอร์ที่น่าสนใจมากมีดังนี้
  • Samsung Health ที่มีรูปแบบการออกกำลังกายได้มากขึ้น
  • สามารถเปรียบเทียบและแชร์การแข่งออกกำลังกายกับเพื่อนได้ง่าย
  • หน้าปัดของนาฬิกาจะมีหลากหลายและเฉพาะตัวมากขึ้น
  • การแจ้งเตือนสามารถแสดงผลได้ตาม Smart Phone (ถ้าใช้มือถือ Samsung จะบอกได้ดีที่สุด)
  • ตัวเครื่องกันน้ำได้ในระดับ 5ATM และลงน้ำได้ลึกกว่า Gear S3 Frontier
  • มีความจำในตัว 4GB สามารถใส่เพลงเข้าไปได้
  • ปรับแต่งตัวเครื่องผ่าน Application Samsung Gear
(Apps Samsung Gear เมื่อต่อกับ Gear Sport)
หลังจากที่ได้ลองใช้งาน มีข้อดีคือหน้าปัดของเครื่อง โดยเฉพาะวงแหวนสามารถบิดได้ง่ายและไม่คลอนเหมือนกับ Gear S3 ที่ใช้ไปสักพักจะมีปัญหาส่วนนี้ หน้าปัดเล็กกว่า ตัวเครื่องเล็กลงทำให้ใส่สบาย และฟังก์ชันอาจจะดูแล้วไม่ได้แตกต่างจากเดิมมากนัก แต่ก็ลดเหลือแต่สิ่งที่จำเป็น
ส่วนข้อเสียที่พบ เมื่อเทียบกับ Gear S3 แล้ว พบว่าฟีเจอร์ในการพูดคุยผ่านนาฬิกา และฟังเพลงจะไม่สามารถทำได้ เนื่องจากไม่มีลำโพงในตัว และตัวเรือนออกแบบให้ลุยได้ดีกว่า ทำให้อาจจะไม่ได้ใช้วัสดุเป็นกระจกอย่างรุ่นที่แล้ว

สรุปผลหลังทางทีมงาน Sanook! Hitech ได้ทดสอบและลองเล่น Samsung Gear Sport มาสักระยะ

สำหรับคนที่อยากได้ Smart Watch ที่มีขนาดตัวเครื่องไม่ใหญ่มาก และราคาไม่แพงเกิน 10,000 บาท ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจเพราะ Samsung Gear Sport ปรับปรุงทุกสิ่งรอบตัวทำให้ตัวเรือนลงตัวและเหมาะสมขึ้น จากการมีประสบการณ์ทำนาฬิกา Smart Watch มานาน
imag0118
ส่วนราคานั้นอยู่ที่ 9,900 บาท มีให้เลือก 2 สี คือ สายสีดำและสายสีน้ำเงิน และเหมาะกับคนที่ใช้นาฬิกาและเชื่อมต่อกับมือถือ หรืออีกกลุ่มคือคนที่ต้องการเริ่มออกกำลังกาย เพราะมันมีผู้ช่วยการออกกำลังกายได้ดีเลยล่ะครับ สุดท้ายแล้วคู่แข่งของมันก็มีให้เลือกหลายตัว แต่ถ้าคุณใช้มือถือ Samsung นี่ก็เป็นอีกทางเลือกที่เหมาะสมอยู่ครับ
สรุปจุดเด่นของ Samsung Gear Sport
  • บอดี้ลุยได้เพราะประกอบแน่นหนา
  • กันน้ำได้ดีกว่ารุ่นเดิม
  • ฟีเจอร์ครบเครื่อง
  • มีความจำในตัว ใส่เพลงฟังได้
  • แบตเตอรี่ทนทานกว่าเดิม
  • เปลี่ยนสายได้
  • มีสีให้เลือก
สรุปจุดที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติมหากต้องการซื้อหามาใช้งาน
  • การใช้งานกับวงแหวนอาจจะสร้างความสับสน
  • ไม่มีลำโพงเหมือนรุ่นเดิม
  • ไม่ได้ดูหรูหราเหมือนกับ Gear S3

[iOS Tips] รวมทิปการใช้ iPhone แบบง่าย ๆ ที่ผู้ใช้อาจจะไม่เคยรู้มาก่อน มีอะไรบ้าง มาดูกัน

[iOS Tips] รวมทิปการใช้ iPhone แบบง่าย ๆ ที่ผู้ใช้อาจจะไม่เคยรู้มาก่อน มีอะไรบ้าง มาดูกัน

[iOS Tips] รวมทิปการใช้ iPhone แบบง่าย ๆ ที่ผู้ใช้อาจจะไม่เคยรู้มาก่อน มีอะไรบ้าง มาดูกัน

Techmoblog
สนับสนุนเนื้อหา
สำหรับ iOS Tips ที่ทีมงาน techmoblog รวบรวมมาให้ในวันนี้ เป็นทิปง่าย ๆ ที่ผู้ใช้หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า  ก็สามารถทำได้ ซึ่งนอกจากจะช่วยทำให้การใช้งานสะดวกมากขึ้นแล้ว ยังเป็นวิธีที่ใช้เวลาสั้นลงอีกด้วย โดยเทคนิคที่นำมาเสนอในวันนี้ รองรับบน iPhone และ iPad ที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการ iOS 11 ขึ้นไปเท่านั้น มาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง

1. วิธีการค้นหาคีย์เวิร์ดบนเว็บเพจ

1
สำหรับ Safari บน iOS มีวิธีการค้นหาคีย์เวิร์ดหรือคำที่ต้องการบนเว็บเพจได้ 2 วิธีด้วยกัน โดยวิธีแรกก็คือ ให้คลิกที่ปุ่ม Share แล้วเลือก Find on Page จากนั้นให้พิมพ์คำที่ต้องการค้นหา
ส่วนวิธีที่สอง ให้พิมพ์คำที่ต้องการค้นหาบน address bar แล้วเลือกในส่วนของ On This Page โดยวิธีที่สองนี้จะเร็วกว่าและสะดวกกว่าวิธีแรก

 2. สำหรับเครื่องคิดเลข ปัดจากซ้ายไปขวาเพื่อลบตัวเลชที่กดผิด

2
มีผู้ใช้ iPhone หลายท่านที่ยังไม่สามารถวิธีลบตัวเองที่กดผิดบนเครื่องคิดเลข ส่วนใหญ่มักจะกดปุ่ม C เพื่อเริ่มคำนวณใหม่ แต่จริง ๆ แล้วหลักการลบตัวเลขที่กดผิดนั้น แค่ให้ปัดจากซ้ายไปขวาตามจำนวนตัวเลขที่กดผิดเท่านั้น

 3. อยู่ในหน้า Control Center ก็ใช้งานฟังก์ชัน 3D Touch ได้

3
บน iOS 11 Control Center ได้รับการออกแบบใหม่ที่นอกจากรองรับแอปฯ แบบ Shortcut ได้มากขึ้นแล้ว ยังสามารถใช้งานฟังก์ชัน 3D Touch ได้จากส่วนของ Control Center โดยตรงอีกด้วย (เฉพาะ iPhone รุ่นที่รองรับ 3D Touch เท่านั้น) ซึ่งวิธีการใช้งานก็เหมือนกับการใช้กับแอปฯ ทั่วไป ด้วยการกดค้างที่แอปฯ นั้น ๆ ก็จะปรากฏเมนูการทำงานขึ้น ทำให้สามารถใช้งานได้สะดวกและรวดเร็วกว่าเดิม
 4. เปลียนแป้นพิมพ์จากตัวเลขเป็นตัวอักษรได้เร็วขึ้น แค่กดค้างแล้วลาก
4
สำหรับการพิมพ์ข้อความต่าง ๆ ปกติแล้วการเปลี่ยนจากแป้นตัวอักษรเป็นตัวเลขนั้น ก็เพียงแค่กดแป้นเปลี่ยนตัวเลข (123) แล้วพิมพ์ตัวเลขที่ต้องการ แต่มีเทคนิคการพิมพ์ที่รวดเร็วกว่านั้น ด้วยการกดค้างที่แป้นเปลี่ยนตัวเลข แล้วลากนิ้วไปยังตัวเลขที่ต้องการพิมพ์ เมื่อปล่อยมือก็จะกลับสู่แป้นตัวอักษรปกติ โดยไม่ต้องกดสลับแป้นไปมา

5. ล้างการแจ้งเตือนทั้งหมดในครั้งเดียว

5
ในกรณีที่ผู้ใช้ iPhone มีการแจ้งเตือนเข้ามาเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน การมานั่งลบทีอันคงจะเสียเวลาพอสมควร แต่เราสามารถลบการแจ้งเตือนทั้งหมดได้ในครั้งเดียว ด้วยการกดค้างแบบลงน้ำหนักที่ปุ่มกากบาท จนปรากฏคำว่า Clear All Notification เพียงเท่านี้ก็สามารถลบการแจ้งเตือนทั้งหมดได้แล้ว แต่อย่าลืมว่า จะสามารถใช้งานฟีเจอร์ดังกล่าวได้ก็ต่อเมื่อ iPhone รุ่นนั้นต้องรองรับฟีเจอร์ 3D Touch ด้วย
ขอขอบคุณ
ข้อมูล : www.techmoblog.com

13 เทคนิคทำให้เครื่องกลับมาเร็วได้ใน 10 วินาที

13 เทคนิคทำให้เครื่องกลับมาเร็วได้ใน 10 วินาที

13 เทคนิคทำให้เครื่องกลับมาเร็วได้ใน 10 วินาที

S! Hitech
สนับสนุนเนื้อหา
iPhone นั้นเป็นผลิตภัณฑ์ที่ออกมาให้เราใช้กันเป็นเวลาถึง 10 ปีแล้ว นับว่าเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์สำหรับผู้บริโภค ที่ทำชื่อเสียงต่อเนื่องยาวนาน แถมยังมีการอัพเดท iOS และแอพพลิเคชั่นใหม่ ๆ คุณสมบัติการทำงานใหม่ ๆ มาอย่างต่อเนื่อง แต่ในกรณีที่คุณยังใช้เครื่องรุ่นเก่า การทำงานของมันก็จะช้าลง แต่ก็มีเทคนิคที่จะช่วยให้ iPhone รุ่นเก่าของคุณทำงานได้เร็วขึ้นได้เช่นกัน
ก่อนอื่น เราต้องทราบสาเหตุที่ทำให้ iPhone ทำงานช้าลงกันก่อน ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ ก็มีดังนี้ ไม่มีพื้นที่ RAM หรือ Memory เหลือ คุณไม่อัพเดทซอฟต์แวร์ ไปอัพเดทซอฟต์แวร์ตัวที่ยังไม่ดี เปิดทำงานแบคกราวด์แอฟ พื้นที่เก็บข้อมูลหมด อินเทอร์เน็ตไม่ดี และอาจจะมีสาเหตุอื่น ๆ อีก  แต่ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุไหน เทคนิค 13 ข้อนี้ จะช่วยคุณได้
ทำให้ iPhone ทำงานเร็วขึ้นอย่างทันตาเห็นด้วยการเคลียร์ RAM : วิธีการเคลียร์ RAM ก็คือการรีบู๊ทเครื่องนั่นเอง เหมือนกับการรีสตาร์ทเครื่องพีซี จะช่วยให้การทำงานของเครื่องดีขึ้น ให้กดแช่ที่ปุ่ม Power สักประมาณ 2-3 นาที แล้วปล่อย จากนั้นให้สไลด์เพื่อปิด แล้วไปกดที่ปุ่ม Home เพื่อรีบู๊ท
1
ทำให้พื้นที่เก็บข้อมูลว่าง : ราคาของไอโฟนนั้นจะขึ้นอยู่กับพื้นที่เก็บข้อมูล พื้นที่มาก ก็ราคาแพงมาก แต่เมื่อเราใช้พื้นที่ไปจนเต็ม เครื่องก็จะทำงานช้า ให้เข้าไปที่ Setting > General > iPhone Storage จะเห็นข้อมูลการใช้พื้นที่ และให้เลือกเคลียร์ข้อมูลที่ไม่จำเป็นออก
sideload-apps-ios-11
Offload แอพใน iOS11 : iOS 11 นั้นมีระบบการจัดการพื้นที่เก็บข้อมูล ทำให้เราสามารถลบแอพ แต่เก็บข้อมูลสำคัญเอาไว้ได้ และเมื่อจะลงแอพใหม่ข้อมูลก็จะกลับมาด้วย ให้ไปที่ Setting > General > iPhone Storage จะเห็น Offload Unused App
ใช้พื้นที่ฟรี iCloud และ Google Photo : ให้ไปที่ Apple ID ซึ่งอยู่ด้านบนของ Settings เมื่อเข้าไปจะเห็น iCloud ให้เลือก Manage Storage > Chang Storage Plan และซื้อพื้นที่เพิ่ม แต่ถ้าไม่อยากเสียเงิน ก็ให้เชื่อมต่อ iPhone กับคอมพิวเตอร์ ด้วยพอร์ต USB และโอนย้ายข้อมูลไปเก็บในเครื่องคอมพิวเตอร์แทน หรืออีกทางเลือกหนึ่งคือ Google Photo โดยให้เข้าไปที่ Menu > Free up Spaceจะเป็นการแบคอัพรูปและวีดีโอลงไปใน Google Photo จากนั้นก็ลบรูปและวีดีโอในเครื่องออก
4
ลบแอพที่ไม่ใช้งานออก : แอพที่ไม่จำเป็น ไม่ได้ใช้งาน ลบออกได้ด้วยการกดแช่ที่ไอคอนแอพ จะมีเครื่องหมายกากบาทขึ้นมา ก็ให้กดเพื่อลบออก
a5
ปิดแอพที่ไม่ได้ใช้งาน : บ่อยครั้งที่เราเปิดแอพค้างไว้หลายแอพ ทำให้เครื่องทำงานช้าลง แอพไหนที่ไม่ได้ใช้ ไม่ควรเปิดค้างไว้
a6
ลบ Cookie และข้อมูล Safari : ให้ไปที่ Settings > Safari และเลื่อนลงมาด้านล่างจะเห็น Clean History and Website Data7
ปิดการทำงาน Location service : ไปที่ Settings > Privacy > Location Service ที่ด้านบนจะเห็นปุ่มปิด ซึ่งจะเป็นการปิดปริการและแอพไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งอาจจะไม่ใช้ทางเลือกที่ดีนัก ให้เลื่อนลงด้านล่างจะเห็นรายการแอพ และการแชร์ Location ก็ให้เลือกปิดตามต้องการ8
ปิดการดาวน์โหลดอัตโนมัติ : ไปที่ Settings > iTune & App Store จะเห็นทางเลือก Automatic Downloads ก็ให้ปิดการทำงานไป
ปิดการทำงาน Background Refresh : อาจจะเลือกปิดเฉพาะบางแอพ หรือปิดทั้งหมดก็ได้ โดยไปที่Settings > General > Backgroung App Refresh
10
ลดการแสดงภาพเคลื่อนไหวและเอฟเฟคพิเศษ : ให้ไปที่ Settings > General > Accessibility จะเห็น Increase Contrast ให้เลือกแล้วไปที่ Reduce Transparency นอกจากนี้ ในเมนู Accessibility ยังเลือก Reduce Motion ได้ด้วย
11
Reset เครื่อง : ให้ไปที่ Settings > General > Reset แล้วให้เลือก Erase All Content and Settings แต่ทั้งนี้ ควรจะแบคอัพข้อมูลให้ปลอดภัยก่อน
12
เปลี่ยนเครื่องใหม่ : หากลองวิธีต่าง ๆ มาจนครบทุกขั้นตอนแล้ว เครื่องก็ยังทำงานช้าเกินไป ให้ลองเข้าไปตรวจเช็คที่ศูนย์บริการ เพราะอาจจะมีปัญหาอื่น ๆ ซึ่งอาจจะต้องซ่อม หรือเปลี่ยนเครื่องใหม่แทน
gettyimages-851592528



ขอขอบคุณ
ข้อมูล : fossbytes.com

ตกที่นั่งลำบาก iPhone 8 และ iPhone X ขายได้ไม่ดีเท่ารุ่นเก่า!


ตกที่นั่งลำบาก iPhone 8 และ iPhone X ขายได้ไม่ดีเท่ารุ่นเก่า!

ตกที่นั่งลำบาก iPhone 8 และ iPhone X ขายได้ไม่ดีเท่ารุ่นเก่า!


หลังจากเพิ่งมีข่าว iPhone X จะไม่ได้ไปต่อและอาจหยุดสายพานการผลิตภายในกลางปีนี้ ล่าสุดมีรายงานการเก็บข้อมูลพบว่า ยอดจำหน่ายของ iPhone 8iPhone 8 Plus และ  X นั้นน้อยกว่ารุ่นเก่าเสียอีก
การเก็บสถิติจากผู้ให้บริการเครือข่ายในสหรัฐอเมริกา ได้แก่ AT&T, Sprint และ Verizon พบว่า iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone X มียอดจำหน่ายรวม 61% น้อยกว่ารุ่นเก่าอย่าง iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ที่สร้างยอดขายไปได้ทั้งสิ้น 72% ในไตรมาสที่ 4

ก่อนหน้านี้หลายๆ คนต่างตั้งหน้าตั้งตารอชม iPhone X สุดล้ำ และเมื่อเปิดตัวมาแล้ว iPhone X ก็ยังมีความน่าสนใจมากกว่า iPhone 8 และ iPhone 8 Plus
ในไตรมาสที่ 4 ของปีที่ผ่านมา iPhone 7 และ iPhone 7 Plus สร้างยอดขายได้ 25% ตามด้วย iPhone 6s และ iPhone 6s Plus ที่ 8% และ iPhone SE ที่ยอดขายน้อยมากๆ ส่วน iPhone X สร้างยอดขายได้ 20% ครับ