ติดต่อ-สอบถาม

วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2560

Starbucks เพิ่มฟีเจอร์สั่งกาแฟด้วยเสียงผ่าน Apps เริ่มใช้ในสหรัฐอเมริกา

Starbucks เพิ่มฟีเจอร์สั่งกาแฟด้วยเสียงผ่าน Apps เริ่มใช้ในสหรัฐอเมริกา

Starbucks เพิ่มฟีเจอร์สั่งกาแฟด้วยเสียงผ่าน Apps เริ่มใช้ในสหรัฐอเมริกา


ปกติการสั่งกาแฟนั้นเราจะต้องเดินไปที่ร้านกาแฟแล้วสั่งกับผู้ทำกาแฟหรือ barista ซึ่งจะชงตามสูตร ซึ่งผิดกับการสั่งผ่าน Apps ที่จะต้องกดเท่านั้น
ล่าสุด Starbucks ได้เปิดตัว Apps ที่ชื่อว่า My Starbucks barista มีจุดเด่นเรื่องการสั่งกาแฟด้วยเสียง ซึ่ง Barista จะรับคำสั่งจากผู้สั่งออร์เดอร์ด้วยเสียง และพร้อมรับที่สาขาที่คุณต้องการ
โดยข้อจำกัดตอนนี้ยังใช้งานเฉพาะสหรัฐอเมริกา และกับ iOS เท่านั้น ส่วน Android จะได้ใช้ภายในปีนี้แน่นอน
ขอขอบคุณ
ข้อมูล : Phonearena

เปิดตัวแล้ว Panasonic Lumix GF9 กล้อง Mirror Less สาย Selfie ระดับ 4K

เปิดตัวแล้ว Panasonic Lumix GF9 กล้อง Mirror Less สาย Selfie ระดับ 4K

เปิดตัวแล้ว Panasonic Lumix GF9 กล้อง Mirror Less สาย Selfie ระดับ 4K

Panasonic ได้กล่าวว่า Lumix GF9 นั้นเรื่องการถ่ายภาพแบบ Selfie โดยเฉพาะ ซึ่งสำรวจจากความต้องการของคนไทย โดย Lumix GF9 จะเป็นกล้อง Mirror Less Selfie ที่สามารถทำความละเอียดได้ในระดับ 4K รุ่นแรกของโลก และนอกจากนี้คนไทยมีนิสัยคือเรื่องของการท่องเที่ยว ทำให้การถ่ายภาพ Selfie ได้โดยที่กล้องสามารถจับวิวด้านหลัง เรียกได้ว่าได้ทั้งหน้มฃาชัดและหลังชัด ในภาพเดียว
และเน้นเรื่องการถ่ายภาพ Selfie ได้ง่ายเพราะมี Buddy Shutter ปุ่มถ่ายภาพที่ 2, ปรับ Beauty Retouch และสามารถทำ Background Filter ทำให้หลังละลายได้ง่าย, Panorama Selfie และเชื่อมต่อผ่าน Easy Share จาก Panasonic Image App
นอกจากนี้ GF9 นั้นมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างให้เหมือนกับ กล้องรุ่นพี่อย่าง GX85 และมีให้เลือกทั้งหมด 4 สีคือ ส้ม, เงิน(ล่างดำ), ชมพู และขาว ส่วนราคาอยู่ที่ 23,990 บาท เลนส์ kit 12-32 mm แบบเลนส์ 20 mm Fix 27,990 บาท และ 29,990 บาทกับ เลนส์คู่ 12-32 และ 35-100 mm กล้องรุ่นนี้เริ่มขายในเดือนกุมภาพันธ์นี้
นอกจากนี้ในเรื่องของสินค้าในกล้อง Panasonic จะเน้นเรื่องกล้องถ่าย 4K Photo ได้ทั้งหมด ซึ่งตอนนี้สามารถถ่ายได้หมด ยกเว้น Lumix GF8 และ กล้อง Compact ก็เช่นกัน และ  นอกจากนี้เลนส์ยังมีให้เลือกทั้ง Leica Lens เพิ่มอีก 7 เลนส์ และมีเลนส์ให้เลือกว่า 28 เลนส์ด้วยกัน เรียกได้ว่าเป็นอีก Brand ในกลุ่มของ Mirror Less ในแบบ Micro Four Third มากอีกแบบหนึ่ง 


เตือนผู้ใช้ Android ระวังมัลแวร์ชนิดใหม่แฝงตัวใน PlayStore ทำได้ตั้งแต่ขโมยข้อมูลไป

เตือนผู้ใช้ Android ระวังมัลแวร์ชนิดใหม่แฝงตัวใน PlayStore ทำได้ตั้งแต่ขโมยข้อมูลไป

เตือนผู้ใช้ Android ระวังมัลแวร์ชนิดใหม่แฝงตัวใน PlayStore ทำได้ตั้งแต่ขโมยข้อมูลไป


เตือนผู้ใช้ Android ระวังมัลแวร์ชนิดใหม่แฝงตัวใน PlayStore ทำได้ตั้งแต่ขโมยข้อมูลไปจนถึงล็อคเครื่องเรียกค่าไถ่
บริษัทด้านความปลอดภัย Dr. Web และ Check Point ได้ยืนยันการแพร่ระบาดของมัลแวร์ 3 ตัวในระบบปฏิบัติการ Android ซึ่ง 2 ใน 3 ได้ฝ่าด่านของ Google เข้ามาแฝงตัวใน PlayStore เรียบร้อยแล้วแม้ในระยะหลังนี้จะเพิ่มความเข้มงวดมากขึ้นก็ตาม ทำให้ Google ต้องรีบทำการกวาดล้างอย่างเร่งด่วน โดยมัลแวร์แต่ละตัวนั้นก็มีความร้ายกาจต่างๆ กันไปตั้งแต่แอบขโมยข้อมูลไปจนถึงล็อคเครื่องเรียกค่าไถ่ จึงขอให้ผู้ใช้ Android ทุกท่านระวังมัลแวร์ทั้ง 3 ตัวด้านล่างนี้เอาไว้ครับ

 Skyfin Trojan

1
มัลแวร์ตัวนี้พบได้บ่อยในฐานะของแถมที่มากับไฟล์ .APK ทั้งหลาย ใครที่ชอบลงแอปพลิเคชันโดยไม่ผ่าน PlayStore อาจจะตกเป็นเหยื่อของมันโดยไม่รู้ตัว พิษสงของมันคือมันสามารถแอบล้วงข้อมูลที่อยู่ในมือถือของเราไม่ว่าจะเป็นเลข IMEI, รุุ่นโทรศัพท์, สถานที่, ภาษา และอื่นๆ รวมไปถึงแอบติดตั้ง ซื้อ และให้คะแนนแอปพลิเคชันโดยที่เราไม่รู้ตัว ทำเอาเสียเงินเสียทองกันไปแบบงงๆ แต่โชคยังดีที่มัลแวร์ตัวนี้ไม่ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android Marshmallow ขึ้นไปครับ

HummingWhale

2
มัลแวร์ตัวนี้แฝงตัวอยู่ในแอปพลิเคชันกว่า 20 แอปบน PlayStore และมีการติดตั้งแอปเหล่านี้ไปแล้วนับล้านๆ ครั้งก่อนที่ Google จะรู้ตัวและเก็บกวาดแอปพลิเคชันเหล่านั้นออกไปในภายหลัง หากเครื่องใครโดนมัลแวร์ตัวนี้เข้าไปมันจะโจมตีด้วยโฆษณาจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นการยัดเยียดให้เราชมหรือคลิกโฆษณาเพื่อสร้างเงินให้กับผู้พัฒนามัลแวร์ นอกจากนี้ยังสามารถแอบปั๊มคะแนนแอปพลิเคชันในเครือญาติของมันเพื่อให้แอปเหล่านั้นดูน่าเชื่อถือและมียอดดาวน์โหลดมากขึ้น เพื่อให้ติดมัลแวร์ HummingWhale ต่อไป

 Charger

3
อีกหนึ่งมัลแวร์อันตรายที่ระบาดอยู่ใน PlayStore ขณะนี้คือ Charger ซึ่งแฝงตัวมากับแอปพลิเคชันบริหารจัดการแบตเตอรีที่มีชื่อว่า Energy Rescue ผู้ที่หลงกลดาวน์โหลดแอปพลิเคชันนี้ลงเครื่อง Charger จะเริ่มทำหน้าที่ของมันทันทีโดยการเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ ในโทรศัพท์ แล้วจึงขอสิทธิ์ Admin หากเผลอไปกดมอบสิทธิ์ให้มัน มันจะแผลงฤทธิ์ด้วยการล็อคเครื่องและแสดงข้อความข่มขู่ทำนองว่าข้อมูลของเราจะถูกนำไปขายต่อในตลาดมืด หากอยากได้ข้อมูลคืนต้องจ่าย 0.2 บิทคอยน์ (ประมาณ 6,500 บาท) ล่าสุดทาง Google ได้กำจัดแอปพลิเคชันนี้ออกจาก PlayStore แล้ว แต่ก็ไม่ควรประมาทเพราะมันอาจจะกลับมาในแอปพลิเคชันอื่นๆ อีกก็เป็นได้

 ทำอย่างไรจึงจะปลอดภัยจากมัลแวร์?

4
หากจะว่ากันตามจริงแล้ว ตราบใดที่สมาร์ทโฟนของเรายังเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตอยู่ ก็ไม่มีทางที่เราจะปลอดภัยจากมัลแวร์หรือการโจมตีทางไซเบอร์อื่นๆ ได้อย่างสมบูรณ์ 100% แต่เราสามารถลดโอกาสการตกเป็นเหยื่อให้น้อยที่สุดได้
สำหรับวิธีป้องกันมัลแวร์ในเบื้องต้น ควรหลีกเลี่ยงการติดตั้งแอปพลิเคชันด้วยไฟล์ .APK และ Store อื่นๆ ให้ติดตั้งผ่าน PlayStore เท่านั้น พยายามหลีกเลี่ยงแอปพลิเคชันจำพวก Cleaner ที่อ้างว่ากำจัดไฟล์ขยะได้ รวมไปถึงแอปพลิเคชันประหยัดแบต, เคลียร์ RAM และ Optimizer ทั้งหลาย เพราะมักจะมีของแถมไม่พึงประสงค์ติดมาด้วย ยิ่งไปกว่านั้นสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ
ในปัจจุบันก็มาพร้อมกับฟังก์ชันเคลียร์ RAM และทำความสะอาดอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องติดตั้งเพิ่มอีก ก่อนติดตั้งแอปพลิเคชันจาก PlayStore ทุกครั้งควรอ่านรีวิวและตรวจสอบการขอสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลอย่างละเอียด หากทำได้ตามนี้ก็จะปลอดภัยจากมัลแวร์ได้ในระดับหนึ่งครับ

ขอขอบคุณ
ข้อมูล : www.techmoblog.com www.phonearena.com

วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2560

แฟลชไดรฟ์เสีย อย่าเพิ่งทิ้ง ลองแกะดูอาจได้การ์ด MicroSD มาใช้

แฟลชไดรฟ์เสีย อย่าเพิ่งทิ้ง ลองแกะดูอาจได้การ์ด MicroSD มาใช้

แฟลชไดรฟ์เสีย อย่าเพิ่งทิ้ง ลองแกะดูอาจได้การ์ด MicroSD มาใช้


ถ้าใครที่สามารถใช้แฟลชไดรฟ์จนเสีย โดยที่ไม่หายไปก่อนได้ แอดแนะนำให้ลองแกะดูภายในก่อนนะครับ บางทีแฟลชไดรฟ์ตัวนั้นอาจจะมี MicroSD ทำหน้าที่เก็บข้อมูลอยู่ข้างใน แล้วเราก็แกะเอามาใช้ต่อได้
เรื่องราวนี้ถูกเผยแพร่ในกระทู้ FLASH DRIVE เสียอย่าเพิ่งทิ้ง ลองแกะภายในดู โดยคุณ DUCKONE ที่บังเอิญทำแฟลชไดรฟ์ของ Sandisk รุ่น Dual USB Drive เสีย เพราะลงน้ำไปหลายครั้ง และโดนแขนกดตอนเสียบคอมอยู่ จนน่าจะมีอะไรหักภายใน จึงแกะดูเพราะอยากเห็นชิปหน่วยความจำข้างใน
1
แต่เมื่อแกะออกมาดูพบว่ามีการ์ด MicroSD ของ Sandisk ขนาด 64 GB ระบุสเปกเป็นแบบ U1 อยู่ภายใน โดยที่ตัวแฟลชไดรฟ์ทำหน้าที่เป็นเหมือน Card Reader เท่านั้นเอง ซึ่งเมื่อนำการ์ดไปฟอร์แมทใหม่ก็สามารถใช้งานได้ต่อตามปกติ
2
3
ไม่ใช่แฟลชไดรฟ์ทุกรุ่นที่แกะออกมาแล้วจะเจอ MicroSD แบบนี้นะครับ เพราะแอดก็เคยแกะเล่น ส่วนใหญ่มันก็เป็นชิปหน่วยความจำสีดำๆ กันทั้งนั้น แต่กรณีนี้เป็นน่าจะเป็นรุ่นที่ทาง Sandisk ออกแบบมาเพื่อจัดการต้นทุนในการผลิตได้ดีขึ้น แทนที่จะต้องเปิดสายการผลิตชิปสำหรับแฟลชไดรฟ์เพิ่ม ก็ผลิตแค่ MicroSD อย่างเดียว แล้วสร้างตัวอ่านมาครอบ ทำให้ขายได้ในราคาไม่แพงไงครับ (แต่แฟลชไดรฟ์ดังๆ อย่าง Sandisk ต้องซื้อในร้านที่เชื่อใจได้ หรือมีประกันตัวแทนจำหน่ายอย่าง Synnex นะครับ ซื้อของปลอมนอกจากจะไม่ได้ประกันแล้ว ยังเสี่ยงข้อมูลหายอีก)
ก็เป็นความรู้ใหม่สำหรับแอดเลย ต้องขอบคุณคุณ DUCKONE ที่อนุญาตให้เว็บแบไต๋นำเนื้อหาและรูปภาพมาเผยแพร่ต่อด้วยนะครับ ^ ^

ขอขอบคุณ
ข้อมูล : www.beartai.com

3 วิธี “ที่ดีที่สุด” ในการทำความสะอาด iPhone

3 วิธี “ที่ดีที่สุด” ในการทำความสะอาด iPhone

3 วิธี “ที่ดีที่สุด” ในการทำความสะอาด iPhone

ท่านทราบหรือไม่ว่า iPhone ของท่านสกปรกมากกว่าที่ท่านคิด สื่อบางแห่งในต่างประเทศกล่าวว่า “iPhone มีแบคทีเรียมากกว่าห้องน้ำสาธารณะถึง 18 เท่า” ซึ่งอาจจะทำให้ท่านเกิดความวิกตกไม่มากก็น้อย ดังนั้นท่านจึงควรรู้จักวิธีทำความสะอาด iPhone อย่างเหมาะสม (และต้องไม่เป็นอันตรายต่อตัวเครื่องด้วย)
ลองมาดู “3 วิธีที่ดีที่สุด” ในการทำความสะอาด iPhone กันว่ามีวิธีใดที่เหมาะกับท่านบ้าง
  • วิธีที่ 1 ทำตามคำแนะนำของ Apple
Untitled-2
เป็นวิธีที่ได้ผลน้อยที่สุด ซึ่ง Apple ได้แนะนำให้ใช้ “ผ้านุ่มปราศจากเส้นใยชุบน้ำหมาดๆ” มาทำความสะอาดด้านหลัง iPhone ที่ปิดเครื่องแล้ว และยังแนะนำให้หลีกเลี่ยงน้ำยาทำละลาย, สเปรย์ฉีดฆ่าแมลงแบบกระป๋อง, น้ำยาทำความสะอาดพื้นและน้ำยาเช็ดกระจก เพราะสารเหล่านี้สามารถทำลาย Oleo-Phobic Coating (สารเคลือบป้องกันรอยขีดข่วนและลดแสงสะท้อน) บนหน้าจอของท่านได้
แต่ปัญหาก็คือ มันแทบจะไม่ได้ทำลายแบคทีเรียที่อยู่บน iPhone เลย
  • วิธีที่ 2 วิธี DIY (Do It Yourself) 
Untitled-3
เป็นวิธีที่ได้ผลมากกว่าคำแนะนำของ Apple และปลอดภัยมากกว่าสำหรับ iPhone ของท่าน โดยเริ่มแรกให้ท่านนำ Isopropyl rubbing Alcohol (แอลกอฮอล์ล้างแผลและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย มีฤทธิ์รุนแรงกว่าแอลกอฮอล์ธรรมดา) 40% ผสมเข้ากับน้ำ 60% แล้วนำผ้าไมโครไฟเบอร์มาจุ่มในส่วนผสมดังกล่าวแล้วนำไปเช็ดทำความสะอาดด้านหลัง iPhone และใช้ไม้พันสำลีจุ่มส่วนผสมดังกล่าวเพื่อเช็ดตามบริเวณร่องเล็กๆขอบปุ่ม Volume, Power/Sleep, Slot สำหรับใส่ซิม และปุ่ม Home
แต่ห้ามนำส่วนผสมดังกล่าวมาเช็ดหน้าจอเด็ดขาด เพราะอาจทำอันตรายหน้าจอได้
  • วิธีที่ 3 ใช้แสง UV
Untitled-4
เป็นวิธีทำความสะอาดอย่างได้ผลและปลอดภัยต่อสมาร์ทโฟนที่สุด โดยการนำ iPhone ของท่านมาฉายแสง Ultraviolet (UV) ด้วยเครื่องฉายแสง UV สักระยะหนึ่ง แสง UV จะทำลายลาย DNA ของแบคทีเรียในระดับที่ไม่สามารถซ่อมแซมตัวมันเองได้อีก ดังนั้นวิธีนี้จึงสามารถทำลายแบคทีเรียที่ยึดครองสมาร์ทโฟนของท่านอย่างถาวร
แต่อุปกรณ์ฉายแสง UV เหล่านี้มีราคาแพงมาก
สรุป
วิธีที่ 1
  • ไม่ทำลายแบคทีเรียได้
  • เป็นเพียงคำแนะนำของ Apple เท่านั้น
  • ไม่เป็นอันตรายต่อ iPhone ของท่าน
  • ราคาถูกที่สุด
วิธีที่ 2
  • ทำลายแบคทีเรียได้บ้าง
  • Apple ไม่แนะนำวิธีนี้
  • ไม่ปลอดภัยต่อหน้าจอ iPhone ของท่าน
  • ต้องออกแรงมากที่สุด เพราะต้องเตรียมอุปกรณ์และลงมือทำความสะอาดด้วยตนเอง
วิธีที่ 3
  • ทำลายแบคทีเรียทั้งหมด
  • ปลอดภัยต่อสมาร์ทโฟนที่สุด
  • มีราคาแพงที่สุด
จากข้อมูลข้างต้นนี้ ท่านจะสามารถเลือกวิธีการทำความสะอาดที่เหมาะสมกับ iPhone ของท่านได้อย่างแน่นอน
ขอขอบคุณ