ติดต่อ-สอบถาม

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2559

15 เทคนิคที่คุณอาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับการใช้ “ iPhone”

15 เทคนิคที่คุณอาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับการใช้ “ iPhone”

15 เทคนิคที่คุณอาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับการใช้ “ iPhone”

ผู้ใช้  ส่วนใหญ่ ยังตัดสินใจเป็นสาวก iPhone กันต่อไป เพราะติดใจในเรื่องความง่ายในการใช้งานของ iPhone แม้ว่าโทรศัพท์มือถือในค่าย Android จะโปรโมทฟังก์ชั่นการใช้งานใหม่ ๆ ล้ำ ๆ ออกมาดึงดูดความสนใจกันอย่างต่อเนื่อง และค่าย iPhone เองก็ไม่ค่อยจะโปรโมทเรื่องฟังก์ชั่นการทำงานของโทรศัพท์กันมากสักเท่าไหร่ จึงทำให้มีอีกหลายฟังก์ชั่นที่ซ่อนอยู่
โดยผู้ใช้จำนวนมากไม่ทราบ และ 15 เทคนิคต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่ไม่ทราบว่า iPhone ทำได้ และเมื่อทราบแล้ว พวกเขาก็น่าจะหลงรักมันมากยิ่งขึ้น
1. ตั้งเวลาเปิดปิดเพลง ใครที่เคยนึกอยากจะนอนฟังเพลงโปรด ตอนง่วง ๆ แล้วก็หลับไปได้เลย โดยไม่ต้องกังวลกับการลุกขึ้นมาปิดตอนกลางดึก คุณทำได้ แค่ไปตั้งเวลาใน Clock app กำหนดเวลาที่ต้องการ แล้วตั้ง Ringtone ที่ Stop Playing แค่นี้ก็จะช่วยกำหนดเวลาในการเปิดเพลงได้
2. ตั้งค่าระบบสั่นให้เป็นแบบเฉพาะตัว สำหรับใครที่เบื่อระบบสั่นแบบมาตรฐานที่ใช้ ๆ กันอยู่ สามารถเปลี่ยนให้เป็นการสั่นแบบเฉพาะตัวได้ โดยเข้าไปตั้งที่ Sounds > Ringtones > Vibration จากนั้น กดเพื่อเลือก New Vibration คุณจะสามารถตั้งค่าการสั่นในแบบฉบับเฉพาะตัวของคุณเอง ด้วยการใช้นิ้วมือแตะเป็นจังหวะที่ต้องการ
3. ใช้ไฟเพื่อการแจ้งเตือน หลายครั้งที่เราได้ยินเสียงโทรศัพท์ แต่ไม่รู้ว่านั่นเป็นเสียงโทรศัพท์ของเราหรือเปล่า เพราะของคนอื่น ก็เสียงแบบนี้เหมือนกัน กรณีนี้ แก้ได้โดยใช้ระบบการเตือนแบบพิเศษ นั่นคือให้ไฟ LED จากล้องช่วยเตือนด้วยอีกแรง เหมือนเป็นการแจ้งเตือนด้วยแสงแฟล็ชนั่นเอง วิธีตั้งคือ Setting > General > Accessibility และ anable การทำงาน
4. ถ้าพิมพ์ผิด ก็เขย่าเพื่อลบออก ไม่ต้องค่อย ๆ กดลบอย่างช้า ๆ ต่อไปอีกแล้ว เมื่อไหร่ที่พิมพ์ผิด หรือต้องการลบข้อความที่พิมพ์ ก็เขย่าเพื่อลบ แล้วเริ่มพิมพ์ใหม่ได้เลย แต่วิธีการนี้ เป็นการลบทั้งข้อความ ไม่ใช้ลบแค่บางคำหรือบางส่วน
5. เพิ่มความเร็วในการใช้งานด้วยการ Clear up RAM วิธีการคือ ให้กดแช่ที่ปุ่ม Power เหมือนกันตอนที่ต้องการจะปิดเครื่อง เมื่อปุ่ม Slide to power off ปรากฏขึ้น ก็ให้กดแช่ที่ปุ่ม Home เพื่อที่จะ Clear up RAM
6. วิธี Clear Cache แบบไม่ให้มีปัญหา ถ้าลอง Clear up RAM แล้ว ยังไม่ได้ผล ให้เปิดลองเปิดโปรแกรมใดโปรแกรมหนึ่งต่อไปนี้ App Store, Podcasts, Music, หรือ Game Center เพื่อที่จะ Clear up Cache โดยเมื่อเปิดโปรแกรมเหล่านี้เพียง 1 โปรแกรม แต่แตะ Icon ใดก็ได้ด้านล่าง 10 ครั้ง
7. แจ้งเวลาที่ข้อความ ไม่ต้องไปดูนาฬิกา ว่าข้อความส่งเข้ามาตอนกี่โมง หรือคุณตอบข้อความไปตอนกี่โมง สามารถให้เห็นเวลาที่ข้อความได้เลย โดยให้ลากนิ้วไปที่ด้านซ้าย เพื่อเปิด Time stamps
8. เรียกดู Taps ที่เพิ่งจะปิดไปบน Safari เมื่อออกจากโปรแกรม Safari จะทำให้ app สามารถจำ และเรียกดูข้อมูลครั้งล่าสุดได้ ให้กดที่ Icon  “+”
9. ใช้เป็นเครื่องมือวัดระดับ แน่นอนว่า โปรแกรมเครื่องคิดเลข เข็มทิศ ไฟแฟล็ช ก็มีประโยชน์มาก ๆ แล้ว แต่ iPhone ยังใช้เป็นเครื่องมือวัดระดับได้ด้วย แค่เปิดโปรแกรม Compass ขึ้นมา แล้วปัดไปด้านซ้าย มันจะกลายเป็น เครื่องมือวัดระดับให้ทันที
10. ใช้เป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิตฉุกเฉิน ใครที่มีปัญหาสุขภาพ สามารถใส่ข้อมูลสุขภาพที่สำคัญลงไปใน Health app หากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น ข้อมูลเหล่านั้น อาจจะถูกเปิดขึ้นเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการรักษาได้
11. กำหนดให้อีเมลแสดงเฉพาะจดหมายที่ยังไม่ได้เปิดอ่าน เพื่อไม่ให้กล่องจดหมายรกมากเกินไป ทำได้ด้วยการกดเข้าไปที่ edit
12. รู้ได้ว่าเครื่องบินไฟล์ทไหนเพิ่งจะบินผ่านคุณไป เช็คได้ไม่ยาก ด้วยการเข้าไปถาม Siri เธอจะบอกข้อมูลโดยละเอียดให้กับคุณได้
13. วิธีจัดการเมื่อ Wi-Fi ช้า เพียงแค่เปลี่ยนจาก Wi-Fi ให้เป็น TLE access โดยเข้าไปเลือกที่ Setting
14. สามารถเปิด Night Shift และ Low Power Mode ใช้พร้อม ๆ กันได้ ช่วยประหยัดการใช้พลังงานให้คุณได้
15. การ Hard reset ทำได้ง่าย ๆ แค่กดแช่ที่ปุ่ม Home และปุ่ม Lock พร้อม ๆ กันประมาณ 5 วินาที

 ที่มา: http://www.wimp.com/15-iphone-tricks-apple-has-been-hiding-from-you/
ขอบคุณข้อมูลจาก : www.wimp.com
ขอบคุณภาพประกอบจาก : www.gettyimages.com

ชายยูเครน เปลี่ยนชื่อตาม iPhone 7 รับ iPhone 7 ไปใช้ฟรี

ชายยูเครน เปลี่ยนชื่อตาม iPhone 7 รับ iPhone 7 ไปใช้ฟรี

ชายยูเครน เปลี่ยนชื่อตาม iPhone 7 รับ iPhone 7 ไปใช้ฟรี

จะเรียกว่านาน ๆ ทีผู้ผลิตสินค้าแนว IT มอบรางวัลสุดแปลกคือการให้คนเปลี่ยนชื่อตามผลิตภัณฑ์ใหม่ แล้วได้รับสินค้าชิ้นนั้นฟรีไปเลย ล่าสุดมีชายชาวยูเครน เปลี่ยนชื่อตาม iPhone 7 ได้รับเครื่องฟรีไปเลย
โดยผู้โชคดีดังกล่าวชื่อว่า Olexander Turin อายุ 20 ปี มีการเปลี่ยนชื่อเป็น iPhone Sim (คำดังกล่าวในประเทศยูเครน เท่ากับ 7) ซึ่งเปลี่ยนเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทำให้เขาได้รับ iPhone 7 ฟรี ในมูลค่า 850 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 29,900 บาท
แม้ว่าจะได้เครื่องฟรีแล้ว แต่เจ้าของชื่อดังกล่าวก็มี Plan ที่จะเปลี่ยนชื่อกลับเป็นชื่อเดิมในเร็ว ๆ นี้เนื่องจากเขายังเป็นเยาวชนอยู่นั่นเอง
Phonearena
ขอบคุณข้อมูลจาก : Phonearena

วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2559

รีวิว Nextbit Robin สมาร์ทโฟนทรงเหลี่ยม สุดฉลาดเพราะมี Cloud อยู่เบื้องหลัง

รีวิว Nextbit Robin สมาร์ทโฟนทรงเหลี่ยม สุดฉลาดเพราะมี Cloud อยู่เบื้องหลัง

รีวิว Nextbit Robin สมาร์ทโฟนทรงเหลี่ยม สุดฉลาดเพราะมี Cloud อยู่เบื้องหลัง

ในยุคของมือถือปัจจุบันอาจจะไม่มีการพูดถึงเรื่องการใช้ระบบการเก็บข้อมูลบนอากาศหรือ Cloud Storage ที่มีปริมาณมากในสมัยนี้ จนตอนนี้มีมือถือรุ่นหนึ่งที่พูดถึงเทคโนโลยีนี้อย่างจริงจังอย่าง Robin ซึ่งเป็นมือถือตัวแรกที่เขาบอกว่าความจำจะไม่มีวันเต็ม แต่ความสามารถอื่น ๆ ก็มีดีจนต้องมาเจาะลึกกันให้ได้รู้
รายละเอียดของ Nextbit Robin
- ขนาดตัวเครื่อง 149 x 72 x 7 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 150 กรัม
- สีตัวเครื่อง เขียวมิ้นต์ ตัดกับขาว, ดำ Midnight
- CPU : Qualcomm Snapdragon 808 Hexa Core 1.8GHz
- GPU : Adreno 418
- RAM : 3GB
- ความจำในตัว 32GB
- ความจำภายนอก Cloud Storage 100GB
- รองรับสัญญาณเครือข่าย : 2G/3G/4G Cat 6 300/50 Mbps
- WiFi 802.11 b/g/n/ac
- Bluetooth V4.1
- กล้องหน้า : 5 ล้านพิกเซล
- กล้องหลัง : 13 ล้านพิกเซล Auto Focus และ LED Flash แบบคู่
- หน้าจอ : 5.2 IPS LCD ความละเอียด 1920x1080
- ระบบปฏิบัติการ Android 6.0 Marshmallow
- แบตเตอรี่ 2680 mAh
รูปร่าง
ด้านหน้าของ Nextbit Robin นั้นออกแบบได้เรียบง่ายสไตล์ Flat Design โดยมีหน้าจอขนาด 5.2 นิ้วแบบ IPS LCD ความละเอียด 1920x1080 พร้อมกับรองรับมัลติทัช 10 จุด ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งาน
ส่วนบน เซ็นเซอร์ขนาดใหญ่พร้อมกล้องหน้าขนาด 5 ล้านพิกเซล และมี ลำโพงอยู่ด้านบนเป็นทั้งลำโพงเครื่องและลำโพงสนทนา
ส่วนล่างปุ่มกดทั้งหมดถูกรวมอยู่ใน UI พร้อมกับลำโพงขนาดใหญ่เช่นกันเท่ากับให้เสียงที่ดังใช้ได้อยู่ไม่น้อย
ด้านข้าง ทำจากพลาสติกตัดสีเดียวกับเครื่องและดูเรียบและมีรอยต่อแต่เข้ากันพอดี โดยข้างซ้ายมีปุ่มปรับระดับเสียง
ข้างขวามีปุ่ม Power สำหรับเปิดปิดเครื่อง และพักหน้าจอ พร้อมกับเป็นระบบสแกนลายนิ้วมือ และมีช่องใส่ซิมแบบ Nano SIM
ด้านบนมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร
ด้านล่างมีช่องเสียบ USB-C, ไมโครโฟน
ด้านหลังมีกล้องขนาด 13 ล้านพิกเซล พร้อมกับ F1.9 และมี LED Flash มาให้ 2 ดวงขนาดใหญ่ พร้อมกับโลโก้ เมฆ และมีจุดไฟ 4 ดวงเพื่อบอกถึงการโหลดข้อมูลระบบ Cloud และมียี่ห้อ Nextbit แปะอยู่ด้านล่าง ตัวเครื่องไม่สามารถถอดเปลี่ยนได้
ภาพรวม เป็นเครื่องที่ออกแบบเรียบง่ายและใช้วัสดุที่ดูในรูปดีมาก การจับสัมผัสก็ถือว่ายังให้ความรู้สึกดี แน่นหนา และไม่มีปัญหาเมื่อใช้งานไปนาน ๆ แต่ว่าข้อเสียนั้นอยู่ในเรื่องของบอดี้พลาสติกที่อาจจะเปราะบางไปสักหน่อย แต่เท่านี้ก็ถือว่าทำได้ดีจนเรียกได้ว่าคบหาได้นาน ๆ
ประสิทธิภาพของ Nextbit Robin
จากภาพการทดสอบ Benchmark ที่เห็นคะแนนของ Antutu นั้นทำได้อยู่ที่ 56425 ถือว่าใกล้เคียงกับมือถือที่ใช้ CPU ตัวนี้อย่าง LG G4 และ Nexus 5x (รุ่นนี้ไม่มีขายในเมืองไทย) ทำให้ความลื่นไหลในการเล่นเกมและใช้งานนั้นหมดห่วง และมีข้อดีในเรื่องการองรับ 4G ครบทุกความถี่ทำให้ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะใช้งานไม่ได้เมื่อย้ายไปยังประเทศไหนก็ตาม หรือจะมีการเปิดประมูลคลื่นใหม่ก็ไม่ใช่ปัญหา
ส่วนแบตเตอรี่ ขนาด 2680 mAh อาจจะไม่ได้มากมายอะไรเมื่อเทียบกับขนาดเครื่อง แต่จากที่ได้ทดลองผ่านโปรแกรม Benchmark อยู่ได้เกือบ 7 ชั่วโมง ก็ถือว่ามาตรฐาน แต่เมื่อใช้งานจริงถ้า Standby ยังไงก็ใช้ได้ยาว แต่ถ้าใช้งานไปทั้งหมดพบว่าก็เอาตัวรอดได้ แต่ถ้าใช้งานหนักแล้วล่ะก็ควรพก Power Bank ไว้
แถมยังรองรับ Quick Charge 2.0 จาก Qualcomm อีกด้วย
คุณสมบัติลูกเล่นที่น่าสนใจ
 
Nextbit Robin เป็นมือถือที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 6.0.1 Marshmallow เหมือนกับมือถือส่วนใหญ่ในตลาดตอนนี้ การจัดระเบียบไม่ได้แตกต่างจาก Android ทั่วไปสักเท่าไหร่ มีทั้ง Notification พร้อมกับ icon ที่เป็นเอกลักษณ์ 
จุดเด่นของ Nextbit Robin ขอพูดถึงระบบ Cloud Storage ที่เกาะติดกับเครื่องนี้และไม่มีวันหยุดอายุ พื้นที่กว่า 100GB ใช้ของ Amazon ซึ่งจะผูกเข้ากับ Google Account ฟังดูดีมาก การทำงานนั้นจะจับพื้นที่ในตัวเครื่องถ้ามีข้อมูลที่ไม่ได้ใช้งานนาน ๆ เช่นรูป หรือ Apps บางอย่างที่จะทำให้พื้นที่ของเครื่องเต็ม จะถูกดูดเข้าสู่ Cloud Storage นี้โดยอัตโนมัติ นั่นหมายความว่า Nextbit มีระบบจัดการพื้นเองโดยอัตโนมัติ และผู้ใช้เองก็สามารถจัดการได้เหมือนกัน
กรณีที่ Apps ถูกย้ายไปแล้วจะมี icon เป็นสีเทา และเมื่อกดเรียกจะทำงานโดยการเชื่อมต่อกับ Cloud Storage ทันที นั่นหมายความว่า Data ของคุณจะถูกดูดไปด้วย ฉะนั้นอาจจะเป็นข้อเสียอยู่บ้าง แต่ถ้ามองถึงเรื่องการใช้งานกับ WiFi จะสะดวกมากมาย
ส่วนลูกเล่นอื่น ๆ นั้น Nextbit Robin ให้ระบบจัดการเสียงที่ดีมากและด้วยลำโพงคู่ทำให้การส่งเสียงดังและปรับแต่งได้ แต่ถ้าเสียบหูฟัง คุณภาพก็ไม่ได้แตกต่างกับมือถือยี่ห้ออื่นสักเท่าไหร่ นอกจากนี้มีเครื่องมือครบทั้งปฏิทิน, เครื่องคิดเลข, เครื่องอัดเสียง, และอื่น ๆ อีกมากมาย รวมไปถึงระบบสแกนลายนิ้วมือด้วย
 
กล้องหลังของ Nextbit Robin ให้ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมกับ Auto Focus แบบ Phase Detection  ทำให้ความเร็วในการโฟกัสนั้นไวและแม่นยำ พร้อมกับรูรับแสง F1.9 และมี LED Flash ขนาดใหญ่ 2 ดวง ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป การถ่ายวีดีโอความละเอียดสูงถึง 4K แต่ที่ต้องปรับปรุงคือ UI กว่าจะเข้าถึงแต่ละเมนูกดเยอะไปสักหน่อย ทำให้ดูไม่ทันใจ
 
ส่วนกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล แม้จะไม่มี Beauty Mode แต่ก็มีความละเอียดดีอยู่ไม่น้อย
 
(ตัวอย่างภาพถ่ายจาก Nextbit Robin)
สรุปจากการลองใช้ Nextbit Robin
 
จัดว่าเป็นมือถือในราคาหมื่นต้น ๆ ที่นอกจากสเปคดีแล้วยังมีเรื่องของเทคโนโลยีการจัดเก็บระบบ Cloud ที่มีประสิทธิภาพ และตัวเครื่องทำงานร่วมกับ Cloud ได้ดี และอาจจะต้องพูดได้เต็มที่ว่าการย้ายข้อมูลไป Cloud ทำได้ง่ายและรวดเร็ว และยังช่วยให้พื้นที่ของเครื่องนั้นโล่งและรองรับอะไรใหม่ ๆ มากขึ้น แต่ตัวเครื่องจะใช้พลาสติกทำให้ดูล้าสมัยไปหน่อย
เมื่อมองราคาอยู่ที่ 12,900 บาท ก็ถือว่าไม่ได้แพงอะไรมากมายนักและเมื่อเทียบกับราคาใกล้กันก็จะมี Vivo V3 Max, OPPO F1s และ Samsung Galaxy A5 (2016) ที่มีราคาแตกต่างกัน และคุณสมบัติใกล้กัน แต่ถ้าต้องการ Cloud เก็บที่และไม่เหมือนใคร Nextbit Robin ก็เป็นคำตอบที่ใช่สำหรับคุณ

ข้อดี
- งานชิ้นส่วนดูดี
- สเปคที่ให้มาครบเครื่อง
- ได้ Cloud Storage
- สีให้เลือกแม้แค่ 2 แต่ก็อิ่มใจ
ข้อควรปรับปรุง
- การหาซื้อยังยาก
- บอดี้ทำจากพลาสติกเสี่ยงเป็นรอยง่าย
- การใช้งาน Cloud Storage มีข้อจำกัด
ขอบคุณ Nextbit Robin โดย ไทยเวย์ โปรดักส์

ทำไมนาฬิกา Smartwatch จึงเป็นกระแสที่จุดไม่ติด?

ทำไมนาฬิกา Smartwatch จึงเป็นกระแสที่จุดไม่ติด?

ทำไมนาฬิกา Smartwatch จึงเป็นกระแสที่จุดไม่ติด?


ขอบคุณข้อมูลจาก :
 www.techmoblog.com, gizmodo.comIDC (Internet Data Corporation)
 องค์กรด้านการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลทางการตลาดระดับโลก ได้เปิดเผยรายงานล่าสุดเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า ยอดการจำหน่ายนาฬิกาสมาร์ทว็อทช์ถดถอยลงถึง 51.6% ทุกๆ ปีในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2016 นับเป็นข่าวร้ายของผู้ผลิตและจำหน่ายสมาร์ทว็อทช์ทุกแบรนด์ โดยเฉพาะ Apple ซึ่งยอดขายวูบลงไปถึง 71.6%ตามรายงานของ IDC
แม้ยอดขายจะดิ่งวูบ แต่ในภาพรวมแล้ว Apple ยังคงเป็นผู้นำในตลาดสมาร์ทว็อทช์อยู่ โดยครองส่วนแบ่งตลาดถึง 41.3% แต่ในไตรมาสที่ 3 นี้ IDC ประเมินว่า Apple ได้ขาย Apple Watch ไปเพียง 1.1 ล้านเรือนเท่านั้น ทำยอดได้น้อยกว่าเดิมมากเมื่อเทียบกับ 3.9 ล้านเรือนในไตรมาสเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว ทั้งๆ ที่ตอนเปิดตัวครั้งแรก Apple Watch ยังเป็นแก็ดเจ็ตยอดนิยมและดูจะมีอนาคตที่สดใสกว่าในตอนนี้มาก

กราฟแสดงส่วนแบ่งตลาดนาฬิกาสมาร์ทว็อทช์ชั้นนำ 5 แบรนด์ ไตรมาสที่3 ปี 2016
บริษัทเดียวที่ยังคงไปได้สวยในตลาดสมาร์ทว็อทช์ปีนี้ก็คือ Garmin ซึ่งทำยอดขายได้กระฉูดถึง 324%พุ่งขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ของตลาด สมาร์ทว็อทช์ของ Garmin โฟกัสไปที่สุขภาพและฟิตเนสเป็นหลัก ซึ่งเป็นสิ่งที่สมาร์ทว็อทช์ทั่วไปในปัจจุบันมักจะให้ความสำคัญกันอยู่แล้ว ส่วน Apple ก็กำลังพยายามที่จะปรับกลยุทธ์ทางการตลาดของตัวเองเพื่อหันมาโฟกัสด้านสุขภาพเช่นกันด้วยสมาร์ทว็อทช์รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Apple Watch 2 ที่เพิ่งจะเปิดตัวออกมา

Garmin Smartwatches
แล้วยอดขายที่ดิ่งลงเรื่อยๆ ของสมาร์ทว็อทช์มีสาเหตุมาจากอะไรกันแน่? IDC เชื่อว่าส่วนหนึ่งของปัญหานี้มาจากความไม่ต่อเนื่องของผลิตภัณฑ์ กว่าที่สมาร์ทว็อทช์รุ่นใหม่ของ Apple จะได้ออกสู่ตลาดก็เป็นช่วงท้ายๆ ไตรมาสที่ 3 แล้ว ส่วน Google ก็เลื่อนการเปิดตัว Android Wear 2.0 ออกไปจนถึงปีหน้า ทำให้สมาร์ทว็อทช์แต่ละรุ่นนั้นทิ้งช่วงเวลาห่างกันมากเกินไป กลุ่มลูกค้าจึงเริ่มเบื่อหน่ายที่จะรอคอยและหมดความสนใจลงไปเรื่อยๆ
แต่ปัญหาใหญ่กว่านั้นก็คือ การตัดสินใจซื้้อสมาร์ทว็อทช์สักเรือนนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก Jitesh Ubrani นักวิเคราะห์อาวุโสของ IDC Mobile Device Trackers กล่าวว่า สถานการณ์ในปัจจุบันนี้ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าสมาร์ทว็อทช์ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์สำหรับทุกคนจริงๆ การกำหนดจุดประสงค์ในการใช้งานให้ชัดเจน (เช่นโฟกัสไปที่สุขภาพ) เป็นสิ่งที่ดี แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า คือเราจะต้องแยกแยะประสบการณ์การใช้งานของสมาร์ทว็อทช์และสมาร์ทโฟนออกจากกันให้ได้มากกว่านี้
อย่างที่บอกไปข้างต้น ประสบการณ์การใช้งานนั้นเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่กำลังฉุดวงการสมาร์ทว็อทช์ให้ลงเหว ผู้ใช้สมาร์ทว็อทช์ส่วนใหญ่มักจะบอกว่ามันไม่ค่อยคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป และเชื่อว่าหลายคนที่เคยใช้สมาร์ทว็อทช์มาก่อนก็คงจะเห็นด้วย แม้ว่าจะสามารถปรับปรุงอะไรหลายๆ อย่างได้จากการอัปเดตซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ก็ตาม แต่ในที่สุดแล้วผู้ใช้ก็ยังทำใจไม่ค่อยได้ที่จะจ่ายเงินซื้อแก็ดเจ็ตเช่นนี้มาใช้งานอยู่ดี

ขอบคุณภาพประกอบจาก : www.gettyimages.com