ติดต่อ-สอบถาม

วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Instagram ใช้วิเคราะห์สุขภาพจิตของผู้โพสต์ภาพได้

Instagram ใช้วิเคราะห์สุขภาพจิตของผู้โพสต์ภาพได้

Instagram ใช้วิเคราะห์สุขภาพจิตของผู้โพสต์ภาพได้

แอปพลิเคชันชื่อดังอย่าง Instagram อาจเป็นได้มากกว่าเครื่องมือในการโพสต์ภาพโชว์ไลฟ์สไตล์ หรือสินค้าเก๋ ๆ เพราะมีการศึกษาพบว่า ภาพที่โพสต์ใน Instagram นั้น สะท้อนได้ว่า ผู้โพสต์กำลังป่วยเป็นโรคซึมเศร้าอยู่หรือเปล่า
โดย Andrew Reece นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และ Chris Danforth นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเวอร์มอนต์ได้ทำการวิเคราะห์ภาพบน Instagram จำนวน 44,000 ภาพจากอาสาสมัคร 166 คน เพื่อหาความลับที่ซ่อนอยู่ในภาพเหล่านั้นว่าเจ้าของภาพรายใดต้องการที่ปรึกษาด้านสุขภาพจิต
สิ่งที่นักวิจัยค้นพบเป็นความสัมพันธ์ในเรื่องอารมณ์กับบรรยากาศของภาพที่โพสต์ โดยพบว่า ทั่วไปแล้ว คนเรามักโพสต์ภาพที่สะท้อนถึงความสดใส   แต่สำหรับภาพที่ใช้สีโทนเข้ม – เทานั้นแสดงให้เห็นว่าผู้โพสต์อาจมีอารมณ์ในเชิงลบอยู่ก็เป็นได้
นอกจากนี้ยังมีสัญญาณอีกตัวหนึ่งที่พบมากในหมู่ผู้ใช้ Instagram และมีภาวะซึมเศร้า นั่นก็คือฟิลเตอร์ Inkwall  ซึ่งจะเปลี่ยนภาพสีเป็นภาพขาวดำให้นั่นเอง
ที่มา Independent
สนับสนุนเนื้อหา: thumbsup.in.t
h

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2559

เปิดตัว Samsung Gear VR 2.0 ปรับใหม่ใช้งานดีขึ้น วางขายในไทยแล้ววันนี้



Samsung Mobile ประเทศไทยได้เผยแพร่ข้อมูลของแว่น Samsung Gear VR 2.0 เวอร์ชั่นใหม่ ที่มีการปรับเปลี่ยนดีไซน์รวมถึงการใช้งานให้ลงตัวยิ่งขึ้น พร้อมทั้งรองรับใช้งานกับ Samsung Galaxy รุ่นเก่าและใหม่ได้
Gear VR 2.0 เปิดตัวครั้งแรกพร้อมกับ Samsung Galaxy Note7 ในงาน Samsung Galaxy Unpacked 2016 เมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยรวมแล้วหน้าตาจะใกล้เคียงกับรุ่นแรกที่ออกมาเมื่อปีที่แล้ว สิ่งทีเปลี่ยนไปเริ่มจากเดิมอย่างแรกคือตัวเครื่องที่เปลี่ยนจากสีขาวมาเป็นสีดำทั้งตัว ที่ฝาด้านหน้าสำหรับติดตั้งสมาร์ทโฟนมีความบางลง สายรัดคาดด้านหลังออกแบบใหม่ให้สวมใส่แล้วรองรับการเคลื่อนไหวได้หลายรูปแบบ ส่วนตัวโฟมกันกระแทกปรับให้มีความอ่อนนุ่ม สวมใส่แล้วกระชับมากขึ้น และการออกแบบใหม่นี้ทำให้มีน้ำหนักเบาเพียงแค่ 345 กรัม
ปุ่มการควบคุมต่างๆ ออกแบบใหม่ มีปุ่ม Home ที่กดแล้วย้อนกลับไปที่หน้า Oculus Home ได้ทันที, ปุ่ม Back สำหรับย้อนกลับไปเมนูก่อนหน้า รวมถึงตัวปุ่ม Touchpad เพื่อเลื่อนและควบคุมการใช้งานได้สะดวก และเปลี่ยนการออกแบบพอร์ตเชื่อมต่อของ Samsung Gear VR 2.0 ให้สามารถเปลี่ยนตัวหัวขั้วได้ 2 แบบคือ Micro USB สำหรับใช้งานคู่กับเครื่องรุ่น Galaxy S6, S6 edge, S6 Edge+, Note5, S7 และ S7 edge และแบบ USB Type-C สำหรับใช้กับ Galaxy Note 7 รุ่นล่าสุด

ปัจจุบันใน Oculus Home เป็นแพลตฟอร์มที่มีคอนเทนต์สำหรับ Gear VR มากมาย ทั้งแอพและเกมสนุกๆ ที่ให้คุณได้สัมผัสกับประสบการณ์สมจริงอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน, วิดีโอและภาพถ่ายแบบ 360 องศา, ชมภาพยนตร์แบบจอใหญ่เต็มตา ฯลฯ และยังมี Samsung Internet ให้คุณท่องเว็บได้อย่างอิสระบน Gear VR และ Samsung Gallery เพื่อเลือกเปิดดูภาพหรือวิดีโอแบบ 360 พร้อมประสบการณ์เสียงสมจริงแบบ 3D Spatial
Samsung Gear VR 2.0 เริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทยแล้วที่ Samsung Shop ทุกสาขา ในราคาเท่ากับรุ่นแรกคือ 3,500 บาท และเร็วๆ นี้บนช่องทางออนไลน์ของ www.S-Estore.com

วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Apple ปล่อยอัพเดท iOS 9.3.5 ป้องกัน Pegasus spyware



Pegasus spyware

Apple ปล่อยอัพเดท iOS 9.3.5 เพื่อความมั่นใจให้ผู้ใช้ ในการปิดการโจมตีของ Pegasus spyware หลังจากพบช่องโหว่นี้เมื่อ 10 วันก่อนหน้านี้
มัลแวร์บนมือถือเรียกว่ามีอัตราการเติบโตสูงมาก ยิ่งถ้าโดยผู้ไม่หวังดีนำไปใช้ก็ถือว่าเป็นอาวุธที่อันตรายมาก
เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากปล่อย iOS 9.3.4 ออกมา ทาง Apple ก็รีบปล่อยอัพเดท iOS 9.3.5 เพื่อป้องกันมัลแวร์ชื่อว่า “Pegasus” ที่มุ่งโจมตีและขโมยข้อมูลในเครื่องของผู้ใช้อย่างนักการเมืองหรือนักเคลื่อนไหวต่างๆ โดยมัลแวร์ตัวนี้พัฒนาโดย NSO Group บริษัทจากอิสราเอลที่พัฒนาซอฟท์แวร์เรื่องการแอบดูข้อมูลโดยที่เจ้าของเครื่องไม่รู้ตัว มีทั้งแอบดูข้อความ SMS, อีเมล ,ข้อมูลการโทร ,และรายชื่อผู้ติดต่อ
ความน่ากลัวของ Pegasus ก็คือ การเจาะเข้าเครื่องผ่านลิงค์ เพียงแค่คุณกดเข้าไปมันจะเจลเบรคเครื่องของคุณทันที ด้วยการใช้ Pangu และเครื่องมือเจลเบรคอื่นๆ จากนั้นก็ติดตั้งมัลแวร์ลงในเครื่องได้อย่างง่ายดาย ทาง Apple เองก็พยายามอย่างเร่งด่วนในการปิดช่องโหว่นี้
เพื่อความปลอดภัยใครที่ใช้อุปกรณ์ iOS อยู่ก็แนะนำว่าควรอัพเดทเป็น iOS 9.3.5 อย่างเร็วที่สุด ถ้าคุณยังไม่อยากเสี่ยงโดนขโมยข้อมูล

วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2559

3 สิ่ง ‘รถอัจฉริยะ’ มาแน่ๆ


ต้องยอมรับว่า ในขณะนี้วงการรถอัจฉริยะแบบไร้คนขับกำลังร้อนระอุสุด ๆ ทั้งจากการประกาศตัวของค่ายรถยนต์ฟอร์ด (Ford) ที่ประกาศว่าบริษัทมีแผนจะเดินหน้าผลิตรถอัตโนมัติแบบปราศจากพวงมาลัยในปี ค.ศ.2021 หรือการแถลงข่าวจากอูเบอร์ (Uber) ที่ยืนยันว่าบริษัทพร้อมแล้วในการส่งรถแท็กซี่อัตโนมัติไร้คนขับลงประเดิม ถนนในพิทส์เบิร์ก รัฐเพนซิลวาเนียในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้
ในมุมของผู้บริโภค เชื่อว่านอกจากความรู้สึกตื่นตาตื่นใจ และตื่นเต้นแล้ว ยังมีอีกหลายอย่างที่ผู้บริโภคต้องเตรียมตัวรับความเปลี่ยนแปลงด้วย ได้แก่
1. ‘รถยนต์’ ของท่านจะเป็นเป้าหมายใหม่ของดิจิตอลบิลบอร์ด
จากก่อนหน้านี้ที่นักการตลาดมองสมาร์ทโฟนในมือผู้ใช้งานว่าเป็นพื้นที่ในการโฆษณาที่สำคัญมากตัวหนึ่ง แต่สำหรับการมาถึงของรถอัจฉริยะที่มีกำหนดการในปี ค.ศ. 2020 ได้ทำให้นักการตลาดส่วนหนึ่งเริ่มหันมาหาตลาดใหม่ที่สามารถตอบโจทย์ได้ไม่ แพ้กัน นั่นก็คือ ตลาดรถยนต์อัจฉริยะนั่นเอง โดยจะเห็นได้ว่ามีการพัฒนาบิลบอร์ดอัจฉริยะเกิดขึ้นมากมาย บางบิลบอร์ดสามารถแสดงผลโฆษณาได้ตามประเภทรถยนต์ บางบิลบอร์ดก็ใช้วิธีจับความเร็วรถ และเลือกโฆษณาให้เหมาะสมกับสภาพการจราจร ฯลฯ
ระบบควบคุมที่อยู่เบื้องหลังความสามารถของดิจิตอลบิลบอร์ดเหล่านี้ก็คือ AI (Artificial Intelligence) หลาย ๆ บริษัทได้นำ AI มาใช้งานด้านการตลาด โดยให้มันจดจำลักษณะรถ ชื่อ ยี่ห้อ รุ่น สี ปีที่ผลิต หรือจำแม้กระทั่งทะเบียน และด้วยพลังของ AI ทำให้มันสามารถแยกแยะรถยนต์บนท้องถนนได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงสามารถจัดการเลือกโฆษณาที่เหมาะสมกับสภาพการจราจรในขณะนั้นออกมาได้ อย่างไม่มีที่ติ
ยกตัวอย่างเช่น ในมอนทรีออล สหรัฐอเมริกา ค่ายโยเกิร์ตยี่ห้อ Dannon ได้ส่งโฆษณาดิจิตอลตัวหนึ่งที่สามารถแสดงผลได้ตามสภาพการจราจรออกมา เช่น ในสภาพการจราจรติดขัด โฆษณาก็จะโชว์ภาพของความง่วงเหงาหาวนอน (พร้อมกับแนะนำโปรดักส์ของตนเองว่าดื่มเพื่อความสดชื่น)
หรือกรณีของค่ายเดนสุ (Dentsu) บริษัทเอเจนซี่โฆษณาจากแดนปลาดิบที่พัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์โดยให้มันเรียน รู้ลักษณะรถยนต์จากภาพบนทางด่วน และให้ระบบทำการวิเคราะห์เปรียบเทียบกับภาพในฐานข้อมูลจนสามารถระบุได้ว่ารถ ที่ระบบเห็นนั้นเป็นรถยี่ห้อ – รุ่นใด และผลิตในปีที่เท่าไร ระบบนี้จะถูกนำไปประยุกต์ใช้งานกับการนำเสนอสินค้าให้กับรถยนต์ที่วิ่งผ่านไปมาบนท้องถนน โดยหากมันพบว่ามีรถยนต์ไฮบริดจ์วิ่งผ่านมาพร้อม ๆ กันเป็นจำนวนมาก มันก็จะเสนอภาพของสินค้ากลุ่มที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมขึ้นบนป้ายโฆษณา หรือหากพบว่าเป็นรถบรรทุกขนสินค้าที่ต้องวิ่งเป็นระยะทางไกล ๆ มันก็จะนำเสนอโฆษณากลุ่มเครื่องดื่มชูกำลัง เป็นต้น


ขณะที่ในอังกฤษ ก็มีการพัฒนาป้ายดิจิตอลบิลบอร์ดสำหรับรถติดไฟแดงได้อย่างน่าสนใจ โดยที่ป้ายบิลบอร์ดจะติดตั้งกล้องดิจิตอลเอาไว้ เพื่อให้มันจับแผ่นป้ายทะเบียนหน้ารถของคันที่จอดติดไฟแดงคันแรก จากนั้นก็นำทะเบียนมาเปรียบเทียบกับฐานข้อมูล ซึ่งจะทำให้ทราบได้ว่ารถคันนั้นยี่ห้ออะไร สีอะไร รุ่นอะไร ผลิตปีไหน กันเลยทีเดียว แต่ยังไม่พอ ป้ายโฆษณาดิจิตอลป้ายนี้ยังสามารถส่งข้อความทักทายไปยังรถคันดังกล่าวได้ ด้วย เช่น ‘Hello, you in the silver hatchback,’ ขณะที่ภาพบนบิลบอร์ดก็จะโปรโมตรถยนต์รุ่นใหม่ไปในตัว
2. คุณจะพบการทำตลาดแนวใหม่ผ่านหน้าจอภายในรถยนต์ – สมาร์ทโฟน
จากความเปลี่ยนแปลงที่พบได้ในสื่อภายนอกตัวรถแล้ว ความเปลี่ยนแปลงลำดับถัดมาก็คือ ในอนาคตอาจมีข้อมูลแบบเรียลไทม์ที่ยิงตรงเข้ามายังรถยนต์ของคุณมากขึ้นกว่า เดิม ทั้งข้อมูลสภาพการจราจร ข้อมูลสภาพอากาศ ข่าวสารทั่ว ๆ ไปในแต่ละวัน เช่น ราคาน้ำมัน ราคาทองคำ ฯลฯ รวมถึงโฆษณาด้วย
เหตุที่กล่าวเช่นนั้นเพราะในอนาคตจะเกิดการเชื่อมต่อเข้าด้วยกันระหว่างรถยนต์กับสมาร์ทโฟนที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น เพื่อให้ระบบความบันเทิงในรถสามารถตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้นั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น กรณีการพัฒนา CarPlay ของค่ายแอปเปิล (Apple) ซึ่งนักการตลาดจะหาทางแทรกโฆษณาลงมาในรถยนต์ให้ได้ไม่ว่าจะมาจากทางหน้าจอ สมาร์ทโฟน หรือหน้าจอควบคุมหลักของตัวรถ
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ นักการตลาดส่วนหนึ่งอาจยั้ง ๆ การทำตลาดบน Connected car อยู่บ้าง เนื่องจากกังวลเรื่องความปลอดภัยในระหว่างขับรถ เพราะผู้ขับขี่อาจถูกโฆษณาดึงดูดความสนใจจนไม่ทันระวัง และเกิดอุบัติเหตุตามมาได้นั่นเอง แต่ถ้าเป็นกรณีของรถอัจฉริยะไร้คนขับแล้ว การยิงโฆษณาสู่รถยนต์ก็อาจทำได้สะดวกมากขึ้น เนื่องจากมีระบบอัตโนมัติทำหน้าที่ขับให้แทนแล้ว ผู้โดยสารจึงสามารถให้ความสนใจกับหน้าจอแดชบอร์ดภายในรถยนต์ได้มากกว่าเดิม นั่นเอง
3. การถูกสะกดรอยในมิติใหม่
ข้อควรทราบประการหนึ่งของรถยนต์ที่มาพร้อมระบบ GPS ก็คือ รถยนต์คันนั้นสามารถถูกสะกดรอยได้ตลอดเวลา หากคิดจะทำ อย่างน้อยก็จากบริษัทผู้ผลิต แต่ถ้าหากนำข้อมูลตัวรถไปสืบค้นต่อ ก็ยังสามารถรู้ได้ว่า ใครคือเจ้าของรถคันดังกล่าว และโปรไฟล์ของเจ้าของรถคันนั้นเป็นอย่างไร ชอบอะไร เข้าเว็บไซต์ไหนบ้าง ติดตามข่าวสารประเภทใดอยู่ มีพฤติกรรมการซื้อของอย่างไร ดาวน์โหลดแอปอะไรมาบ้าง ฯลฯ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นที่ต้องการของนักการตลาด แต่โดยทั่วไปแล้ว การจะเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้แก่บุคคลที่สาม เจ้าของรถจำเป็นต้องลงนามยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลก่อนจึงจะเปิดเผยได้ ซึ่งถ้าหากไม่มีการเซ็นต์เอกสารยินยอมใด ๆ ก็อาจมั่นใจได้ว่า ข้อมูลส่วนตัวของเราจะยังปลอดภัยในระดับหนึ่ง

รอไม่เกิน 3 ปี?!
คิดใหม่ได้เลยสำหรับใครที่คิดว่ารถขับเคลื่อนตัวเองหรือ Self Driving Car เป็นเรื่องไกลตัวที่ยังต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการพัฒนา เพราะการประเมินล่าสุดพบว่ารถขับเคลื่อนตัวเองมีความพร้อมรอบด้านจนอาจใช้ เวลาอีกไม่ถึง 3 ปีในการทำคลอดเพื่อใช้งานจริงบนท้องถนน
– Nvidia คลอดโปรเซสเซอร์ใหม่เพื่อ Self Driving Car
หนึ่งในความพร้อมที่เห็นชัดเจนของ Self Driving Car คือการเปิดตัวชิปใหม่ของเจ้าพ่อชิปกราฟิกอย่างเอ็นวิเดีย (Nvidia) ซึ่งหวังเปลี่ยนรถยนต์ให้เป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ด้วยชุดชิปเซ็ต ‘ไดร์ฟ พีเอ็ซ์ ทู’ (Drive PX 2) ที่ถูกเปิดตัวครั้งแรกในงาน 2016 Consumer Electronics Show เมื่อต้นปีนี้
ชุดชิปเซ็ต Drive PX 2 ประกอบด้วยโปรเซสเซอร์ตระกูล Parker จำนวน 2 ชุดพร้อมด้วยหน่วยประมวลผลกราฟิกของ Nvidia รุ่นล่าสุดอย่างปาสคาล (Pascal) ทั้งหมดนี้ทำให้ Nvidia การันตีว่า สามารถประมวลผลคำสั่งได้มากกว่า 24 ล้านล้านครั้งใน 1 วินาที
โดยคร่าว Nvidia ประเมินการทำงานของชิป Parker ไว้สูงกว่าชิปสำหรับอุปกรณ์พกพาทั่วไปราว 50% ถึง 100% โดยทั้งหมดนี้เป็นผลจากการวิจัยร่วมกับหน่วยงานมากกว่า 80 แห่ง ซึ่งประกอบด้วยบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถ และศูนย์วิจัยของมหาวิทยาลัยดัง เบื้องต้น ‘โวลโว่”'(Volvo) เป็นแบรนด์ที่จะทดสอบชิป Drive PX 2 ในรถเอสยูวีของตัวเองในปีหน้า


– สองผู้ผลิตชิ้นส่วนรถรายใหญ่ของโลกประกาศร่วมผลิต Self Driving Car ปี 2019
บริษัท โมบิลอาย (Mobileye) ผู้ผลิตเซ็นเซอร์สำหรับรถยนต์สัญชาติอิสราเอล และเดลฟิ ออโตโมทีฟ (Delphi Automotive) บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนรถดั้งเดิมที่ครองตลาดงานผลิตรถยนต์มายาวนาน ประกาศว่าจะร่วมกันพัฒนาระบบสำหรับการผลิตรถยนต์ Self Driving Car อย่างน้อยในระดับ 4 จากขั้นตอนการผลิตรถยนต์ทั้งหมด 5 ระดับ
การร่วมมือครั้งนี้สะท้อนว่าโลกกำลังจะได้เห็น Self Driving Car ในวงกว้าง สอดคล้องกับแผนการของค่ายรถทั้งนิสสันที่พร้อมลุยตลาดรถขับเคลื่อนตัวเองใน ปี 2020 ขณะที่ฟอร์ดขีดเส้นไว้ที่ปี 2021
– บริษัทสตาร์ทอัปเซ็นเซอร์รถ Self Driving Car เพิ่มทุน 90 ล้านดอลล์
อีกสัญญาณที่สะท้อนว่า Self Driving Car อาจคลอดเร็วกว่ากำหนดคือการที่บริษัทควอเนอร์จี (Quanergy Systems) บริษัทที่เพิ่งเกิดใหม่ในซิลิกอนวัลเลย์นั้นได้รับการเพิ่มทุนจนมีมูลค่าตลาดทะลุ 1,590 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากเงินทุนรอบใหม่กว่า 90 ล้านเหรียญหลั่งไหลจากนักลงทุนและบริษัทหลายวงการ เพื่อให้ Quanergy ลงมือวิจัยเซ็นเซอร์อัจฉริยะเพื่อรถยนต์ในอนาคต การเพิ่มทุนมูลค่ามหาศาลนี้ตอกย้ำว่าโลกเห็นความจำเป็นของการพัฒนาเซ็นเซอร์ พิเศษที่เหนือชั้นกว่าสำหรับรถขับเคลื่อนตัวเอง เนื่องจากรถที่จะใช้ซอฟต์แวร์ขับขี่แทนคนจะต้องใช้ข้อมูลจากนานาเซ็นเซอร์ มาประมวลผลเข้ากับภาพจากกล้อง ระบบ GPS เพื่อติดตามตำแหน่งของรถและสิ่งแวดล้อมรอบด้าน รวมถึงระบบเรดาร์หลายชนิดเพื่อให้การขับขี่โดยระบบอัตโนมัตินั้นมีความ ปลอดภัยสูงสุด
ที่มา: http://manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9590000085587

วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2559

หน้ากากสวมจมูก VR เพื่อสัมผัสประสบการณ์ “ผายลม”


หน้ากากสวมจมูก VR เพื่อสัมผัสประสบการณ์ “ผายลม”

หน้ากากสวมจมูก VR เพื่อสัมผัสประสบการณ์ “ผายลม”

เราได้เห็นแว่นตา VR กันมาก็มากแล้ว วันนี้ลองเปลี่ยนมาทำความรู้จักกับอุปกรณ์สวมจมูกเพื่อสัมผัสประสบการณ์ VR กันบ้างก็คงจะดี โดยผู้คิดค้นอุปกรณ์ดังกล่าวนั้นเป็นบริษัทโฆษณาแห่งหนึ่งในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสที่ต้องการให้ผู้บริโภคได้สัมผัสประสบการณ์การผายลมที่สมบูรณ์แบบที่สุดนั่นเอง
บริษัทที่ว่ามีชื่อว่า Buzzman โดยประธานบริษัทอย่าง  Georges Mohammed-Chérif เผยว่า ทีมงานได้พัฒนากลิ่นตดตัวอย่างประมาณ 20 – 25 กลิ่น และบรรจุไว้ในหน้ากาก VR เพื่อให้ผู้ทดสอบได้สัมผัสกลิ่นตัวอย่างได้อย่างเต็มที่
สำหรับการพัฒนาหน้ากากสวมจมูก VR นี้เป็นการจับมือร่วมกับค่าย Ubisoft ผู้พัฒนาเกม South Park เนื่องจากมีตัวละครหนึ่งในเกมที่มักจะผายลมอยู่บ่อยครั้ง และนำลมที่ได้มานั้นมาใช้ในการเทเลพอร์ทตัวเองไปยังสถานที่อื่น ซึ่งแม้ทางทีมงานของ Buzzman จะมองว่าการนำผายลมมาใช้ในเชิงโฆษณานั้น เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยได้พบเห็นกันมากนัก แต่สุดท้ายก็มาลงตัวกับหน้ากากสวมจมูก
โดยในหน้ากากจะมีถุงบรรจุกลิ่นตดอยู่ เมื่อมีการส่งสัญญาณอัลตร้าโซนิคมาจากเครื่องเกม ถุงก็จะปล่อยกลิ่นออกมาอย่างรวดเร็ว และสูดดมได้เฉพาะบุคคลที่สวมเท่านั้น ไม่รบกวนผู้เล่นคนอื่นอย่างแน่นอน
โดยทางทีมพัฒนาได้ทำงานร่วมกับนักเคมี นักพัฒนาซอฟต์แวร์ นักออกแบบเพื่องานอุตสาหกรรม และผู้เชี่ยวชาญด้านจมูกจำนวนมากเพื่อพัฒนากลิ่นที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งทีมงานบางคนต้องดมกลิ่นตดที่สร้างขึ้นนั้นมากกว่า 1,000 ครั้งกว่าจะได้กลิ่นที่ถูกใจเลยทีเดียว
อย่างไรก็ดี หน้ากากนี้ทาง Ubisoft เผยว่าจะไม่มีการจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ แต่จะใช้โปรโมตเกมของทางค่ายที่จัดในประเทศต่าง ๆ เท่านั้น
ที่มา AdAge

สนับสนุนเนื้อหา: thumbsup.in.t
h

ผู้ใช้ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ระวัง! หลังพบปัญหาหน้าจอกระพริบเพิ่มมากขึ้น

ผู้ใช้ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ระวัง! หลังพบปัญหาหน้าจอกระพริบเพิ่มมากขึ้น

ผู้ใช้ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ระวัง! หลังพบปัญหาหน้าจอกระพริบเพิ่มมากขึ้นผู้ใช้ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ระวัง! หลังพบปัญหาหน้าจอกระพริบเพิ่มมากขึ้น หากปล่อยไว้อาจเสี่ยงใช้การไม่ได้อีกต่อไป คาดเกิดจากชิปเซ็ต Touch IC มีปัญหา หรือการ Bendgate โดยไม่ตั้งใจ!

           หลังจากเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของแบรนด์ยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Apple ที่มาพร้อมหน้าจอขนาดใหญ่ขึ้น และแบ่งออกเป็นสองรุ่น ได้แก่ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ที่มีหน้าจอขนาด 4.7 นิ้ว และ 5.5 นิ้ว ตามลำดับ ซึ่งส่งผลให้ยอดขายของทั้งสองรุ่นนี้เพิ่มสูงขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่เดือน แต่ล่าสุดดูเหมือนว่า iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ที่เปิดตัวมาได้เกือบ 2 ปี จะเริ่มมีปัญหาบางอย่างที่อาจส่งผลกระทบถึงผู้ใช้ทั่วโลกแล้ว
เว็บไซต์ iFixit ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการซ่อมแซม และการแยกชิ้นส่วนสมาร์ทโฟนเผยว่า iPhone 6 และ iPhone 6 Plus เริ่มปรากฏปัญหา Touch Disease ให้เห็นเพิ่มมากขึ้น โดยอาการดังกล่าวจะมีลักษณะที่หน้าจอบางส่วนจะกระพริบเป็นสีเทา และถ้าหากปล่อยไว้ก็อาจส่งผลถึงขั้นที่หน้าจอมีความเสี่ยงต่อการใช้งานไม่ได้อีกต่อไป
ซึ่งผู้ที่คลุกคลีอยู่กับการซ่อมโทรศัพท์อย่าง Jason Vilmer ที่เป็นเจ้าของร้านซ่อมแผงวงจรสมาร์ทโฟนชื่อว่า STS Telecom ในรัฐมิสซูรี ประเทศสหรัฐอเมริกาได้กล่าวไว้ว่า ในทุกสัปดาห์เขาจะเจอกับ iPhone 6 หรือ iPhone 6 Plus ที่ถูกส่งเข้ามาซ่อมเรื่องปัญหาเกี่ยวกับหน้าจอ Touchscreen ตลอด จนเขารู้สึกว่าปัญหานี้คล้ายกับระเบิดเวลาที่นับถอยหลังรอวันระเบิดขึ้นสำหรับผู้ใช้ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ทุกๆ คน

(ภาพตัวอย่างปัญหา Touch Disease)
(ภาพชิปเซ็ต U2402 Meson และ Cumulus U2401)
สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นกับหน้าจอ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus มีทฤษฎีที่มีความเป็นไปได้จากการลงความเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านการซ่อมแซมสมาร์ทโฟน คือ ชิปประมวลผลสำหรับหน้าจอ (Touch IC) ที่ชื่อว่า U2402 Meson และ Cumulus U2401 มีปัญหาตั้งแต่กระบวนการผลิต ขณะที่อีกทฤษฎีหนึ่ง คือ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากปัญหา Bendgate โดยไม่ได้ตั้งใจ อธิบายอย่างง่ายก็คือ เมื่อตัวเครื่องเกิดการหักงอไปจากรูปทรงปกติ ส่วนเชื่อมต่อที่อยู่บน Motherboard จะเกิดการแตก และสูญเสียการเชื่อมต่อสัญญาณกับตัวบอร์ด ทำให้ไม่สามารถส่งสัญญาณการ Touch แบบปกติเพื่อไปประมวลผลได้ จึงทำให้เกิดการกระพริบบนหน้าจอ

ประเด็นสำคัญก็คือ หากผู้ใช้นำเอา iPhone 6 หรือ iPhone 6 Plus ที่มีปัญหานี้ไปเข้าศูนย์ Apple Store พนักงานส่วนใหญ่จะบอกกับลูกค้าว่า ปัญหาดังกล่าวไม่ได้อยู่ภายใต้เงื่อนไขการดูแลของ Apple และถ้าตัวเครื่องที่มีปัญหาหมดประกันแล้ว ทางศูนย์จะแนะนำให้ซื้อเครื่องใหม่ทดแทนทันที (เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา)
(ภาพจาก Instagram ของผู้ที่ซ่อมแซมตัวเครื่องได้สำเร็จ)
แม้ว่าจะมีวิธีแก้ปัญหาหน้าจอของ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ที่หายขาดแน่นอน ไม่ว่าจะเป็น การซื้อเครื่องใหม่ หรือการเปลี่ยน Motherboard แบบยกชุด แต่ทั้งสองวิธีนี้เป็นการแก้ปัญหาที่เสียค่าใช้จ่ายมากเกินกว่าเหตุ ทางทีมงาน iFixit จึงได้สรุปข้อเสนอแนะว่า ถ้าเครื่องนั้นยังมีประกันที่ครบถ้วนอยู่ ให้ใช้ได้ทันที แต่ถ้าเครื่องใดหมดประกันแล้วให้หาร้านซ่อมที่สามารถซ่อมได้ถึงในระดับแผงวงจรของตัวเครื่อง และให้ทางร้านเปลี่ยนชิป Touch IC ให้ใหม่ นอกจากนี้ บางร้านหลังจากเปลี่ยนชิปให้ใหม่แล้ว ยังเสริมความแข็งแรงให้กับตัวบอร์ดเพื่อป้องกันการขยับ หรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นใหม่อีกด้วย

สำหรับผู้ใช้ iPhone 6, iPhone 6 Plus หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ Apple ในประเทศไทย ถ้าหากเกิดปัญหาใดๆ ขึ้นกับตัวเครื่องก็ตาม ทางทีมงานขอแนะนำว่าอย่าเพิ่งไปตามร้านตู้ และทำการซ่อมแซมเอง เพราะการซ่อมแซมบางอย่างอาจส่งผลให้เครื่องของเราหมดประกันในทันทีก็เป็นได้ แต่ให้ไปติดต่อกับศูนย์บริการที่ได้รับการรับรองจาก Apple โดยตรง (Apple Authorized Service Provider) เสียก่อน โดยรายชื่อศูนย์ผู้ให้บริการที่ได้รับการรับรองจาก Apple อย่างถูกต้อง มีดังนี้

- ศูนย์ Smart Bar by SPVi
- ศูนย์ iServe Store by Copperwired
- ศูนย์ iCare by Comseven
- ศูนย์ iMedic by Uficon

หรือท่านใดที่ต้องการค้นหาศูนย์ให้บริการใกล้บ้านท่านก็สามารถตรวจสอบได้จาก www.apple.com/th/ได้โดยตรงเลยครับ
ที่มา : PhoneArenaiFixit
สนับสนุนเนื้อหา: www.thaimobilecenter.co
m